30 พฤษภาคม 2564 | โดย วัชร ปุษยะนาวิน
83
ความสำเร็จจากโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ซึี่งมีกรอบการพัฒนาและแนวทางขับเคลื่อนที่ชัดเจนเพื่อเป็นแกนหลักการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในโลกการค้าและการลงทุนในอนาคตอันใกล้
จึงมีแนวคิดว่าการขยายแนวทางพัฒนาแบบอีอีซี หรือ อีอีอีซีโมเดลออกไปในระดับภูมิภาคทั่วประเทศน่าจะเป็นเรื่องที่ดี
สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้เดินหน้ามาแล้ว 3 ปี และประสบความสำเร็จสูง รัฐบาลจึงได้นำ อีอีซี ไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยล่าสุดจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 1/25641 เมื่อเร็วๆนี้ ได้ผลักดันโครงการเขตเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่อีก 4 แห่ง ใน 4 ภาค ได้แก่ 4 ภาค ได้แก่ 1. พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (เอ็นอีซี) ประกอบด้วยเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง
2. พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เอ็นเอ็นอีซี)ประกอบด้วยจังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี และหนองคาย3. พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง – ตะวันตก (ซีดับเบิลยูอีซี) ประกอบด้วยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี และ4. พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (เอสอีซี) ประกอบด้วยจังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
“ภาคเอกชนสนับสนุนนโยบายนี้อย่างเต็มที่ เพราะเป็นการกระจายความเจริญ และขยายฐานอุตสาหกรรมไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับรายได้ และลดความเหลือมล้ำของไทยได้”
นอกจากนี้ ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาดำเนินงาน 4 คณะ ขึ้นมาขับเคลื่อน ได้แก่ 1. คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ กำหนดพื้นที่ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ มีหน้าที่กำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและการกำหนดสิทธิประโยชน์ดึงดูดการลงทุนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และจัดทำแผนพัฒนาระบบศูนย์ให้บริการเบ็ดเสร็จ
2.คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีหน้าที่กำหนดแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตอบโจทย์ในแต่ละพื้นที่ ปรับปรุงด่านศุลกากร และจัดการบริเวณด่านพรมแดน และพิจารณาความเหมาะสมในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและระบบสาธารณูปโภค 3. คณะอนุกรรมการด้านการตลาด และประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่ให้ข้อเสนอแนะทางการตลาดที่สนับสนุนการพัฒนา เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เชิญชวนนักลงทุน จัดทำข้อมูลและคู่มือสำหรับนักลงทุน และ4. คณะทำงานสรรหา คัดเลือก เจรจา และกำกับติดตามการดำเนินการของผู้ลงทุนในที่ดินราชพัสดุที่กำหนดเป็นพื้นที่พัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการเช่าและขั้นตอนการคัดเลือก และเจรจาต่อรองต่อผู้เสนอการลงทุน ตรวจสอบและคัดเลือกผู้เสนอการลงทุน รวมทั้งการกำกับติดตามการดำเนินงาน
“ในทั้ง 4 คณะอนุกรรมการนี้ รัฐบาลได้เปิดให้ภาคเอกชนในนามของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แต่งตั้งผู้แทนเข้าร่วมใน 3 คณะแรก ทำให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อให้ออกแบบพื้นที่ และกำหนดสิทธิประโยชน์ให้ตรงกับความต้องการของนักลงทุนได้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้ทั้ง 4 เชตเศรษฐกิจพิเศษนี้ประสบผลสำเร็จได้เร็ว”
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้มีขนาดใหญ่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกกระทรวง และหน่วยงานรัฐทั้งหมด จึงจะขับเคลื่อนไปได้ ดังนั้นรัฐบาลจะต้องใช้ความเข้มแข็งและเด็ดขาดในการตัดสินใจ จึงจะประสบผลสำเร็จ
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 แห่ง ขณะนี้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) กำลังศึกษาพื้นที่ที่มีความเหมาะสม เป้าหมายการพัฒนา แนวทางการขับเคลื่อน และวิธีการบริหารจัดการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษแต่ละแห่ง เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ บีโอไอจะนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่สอดคล้องกับศักยภาพและอุตสาหกรรมเป้าหมายในแต่ละพื้นที่
โดยจะส่งเสริมการลงทุนในลักษณะคลัสเตอร์ เพื่อจูงใจผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติให้เข้ามาลงทุนและช่วยพัฒนาพื้นที่เหล่านี้ เช่น ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) อาจจะเน้นให้เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์และธุรกิจดิจิทัล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NEEC) เน้นเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจร ขณะที่ภาคกลาง-ตะวันตก (CWEC) อาจเน้นด้านอุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี เพื่อเชื่อมโยงกับกรุงเทพฯ และปริมณฑล และพื้นที่อีอีซี ส่วนภาคใต้ (SEC) อาจเน้นการแปรรูปสินค้าเกษตรมูลค่าสูง และการท่องเที่ยวเชื่อมโยงฝั่งอ่าวไทย-อันดามัน
บีโอไอ มั่นใจกว่าการส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 4 แห่ง จะไม่กระทบกับการดึงการลงทุนในพื้นที่อีอีซี เพราะศักยภาพของแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน ในทางตรงกันข้าม จะเสริมซึ่งกันและกันด้วยซ้ำ โดยพื้นที่เหล่านี้จะเป็นฐานการผลิตสินค้าประเภทที่เสริมกับโรงงานอุตสาหกรรมในอีอีซี เช่น วัตถุดิบต้นน้ำ บรรจุภัณฑ์ต่างๆ และธุรกิจโลจิสติกส์ที่เกี่ยวเนื่อง
ในรูปแบบนี้จะทำให้ supply chain โดยรวมเข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 4 แห่ง จะช่วยให้เกิดการกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง สร้างงาน สร้างรายได้ และส่งเสริมให้เกิด Hub ด้านต่างๆ ในหลายพื้นที่ ไม่มากระจุกอยู่ที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และอีอีซีเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ด้วย
ทั้งนี้ เมื่อมีการกำหนดพื้นที่เป้าหมายและอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว สภาพัฒน์ฯ บีโอไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คงต้องร่วมกันวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษแต่ละแห่ง ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่ง ระบบสาธารณูปโภค นิคมอุตสาหกรรม ศูนย์กระจายสินค้า การดูแลสิ่งแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ไปจนถึงการเตรียมบุคลากรและการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่