ปิดทองหลังพระฯ ต่อยอดโครงการจ้างงานตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง คาดทำเสร็จในเดือน พ.ค.64 เกิดพื้นที่รับประโยชน์เพิ่มขึ้น 174,430 ไร่ เก็บกักน้ำเท่าเขื่อนกิ่วลม แต่ใช้งบต่ำกว่า 37 เท่า
พฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 12.41 น.
นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เปิดเผยว่า ปิดทองหลังพระฯ ได้ต่อยอดทำโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากร่วมกับหน่วยงานราชการ เอกชนและชุมชน คัดเลือกผู้ว่างงานเพราะไวรัสโควิด-19 ระยะที่ 2 โดยจัดการอบรมการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เทคนิคการพัฒนาแหล่งน้ำและการเกษตร พร้อมกับเชื่อมโยงเอกชนเข้ามาทำด้านการตลาดสินค้า โดยจ้างคนว่างงาน 612 คน เข้ามาทำโครงการรวม 543 โครงการใน 9 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบของปิดทองหลังพระฯ ทั้งจังหวัดน่าน อุทัยธานี เพชรบุรี อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
สำหรับโครงการนี้ต่างไปจากครั้งแรกคือขยายพื้นที่เป้าหมายเดิมทำใน 3 จังหวัดเพิ่มเป็น 9 จังหวัด มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าและขยายพื้นที่รับน้ำมากกว่าโครงการแรกเกือบ 6 เท่า การดำเนินโครงการฯ ยังเน้นเรื่อง 4 ประสาน คือ ราชการ เอกชน ประชาชน และปิดทองหลังพระฯ คาดว่าจะทำแล้วเสร็จในเดือน พ.ค.64 นี้ จะทำให้เกิดพื้นที่รับประโยชน์เพิ่มขึ้น 174,430 ไร่ เพิ่มปริมาณเก็บกักน้ำได้ 98.2 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือเทียบเท่ากับปริมาณน้ำในเขื่อนกิ่วลม จังหวัดลำปาง ปัจจุบันการสร้างเขื่อนขนาดนี้ จะต้องใช้งบประมาณถึง 8,000 ล้านบาท แต่โครงการระยะที่ 2 ใช้งบประมาณเพียง 216 ล้านบาท ต่ำกว่าการสร้างเขื่อนที่มีความจุเท่ากันถึง 37 เท่า
ทั้งนี้ประเมินผลจากการทำโครงการครั้งนี้ จะสร้างแหล่งน้ำให้กับเกษตรกรรวม 39,855 ครัวเรือน เพิ่มขึ้นกว่าระยะแรกเกือบ 8 เท่า และจะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจากการมีน้ำในการปลูกพืชหมุนเวียนตลอดปีเพิ่มขึ้นปีละ 7,000 บาทต่อไร่ ดังนั้นประเมินได้ว่า พื้นที่รับน้ำทั้ง 174,430 ไร่ จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 1,221 ล้านบาท
คุณเห็นด้วยกับข่าวนี้หรือไม่
- เห็นด้วย
0%
- ไม่เห็นด้วย
0%