ซูเปอร์โพลเผยคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้รักษา ม.112 ไว้เช่นเดิมจำเป็นต้องมี กม.ป้องกันการล้มล้างสถาบัน อดีตผู้ช่วย รมต.ยุติธรรมจี้จัดการ “อวตาร” ปั่นล้มเจ้า นายกฯ ตอบยังไม่ได้ทำอะไร หลังถูกถามทูลเกล้าฯ ถวายชื่อรมช.มท.คนใหม่ แกนนำ พปชร.ปัดยังไม่ได้คุยสูตร “หมดที่ลุงตู่ สู่ลุงป้อม” ยันหนุน “ประยุทธ์” เป็นนายกฯ “รงค์” โว พปชร.มีแคนดิเดตนายกฯ เยอะแยะ ย้อน พท.ยังตอบไม่ได้ใครเป็นแคนดิเดต “ชลน่าน” แบะท่าจับมือกับ “บิ๊กป้อม” อ้างมีความเป็นมนุษย์มากกว่า แต่ย้ำไม่เอา “บิ๊กตู่” ขณะที่ “ไพจิต ศรีวรขาน” ส่อซบ ภท. “ไทยภักดี” ระดมทุนคึกคักชูรบแตกหักคนโกงชาติ
เมื่อวันอาทิตย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจ เรื่อง ความจำเป็นของ ม.112 กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 2,007 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม 2565 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.4 ระบุจำเป็นที่จะต้องรักษากฎหมายมาตรา 112 เอาไว้เช่นเดิม เพราะการมีอยู่ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตปกติ สิทธิส่วนบุคคล และยังช่วยรักษาความมั่นคงของชาติเอาไว้ ในขณะที่ร้อยละ 4.6 ไม่จำเป็น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.6 ระบุจำเป็นที่ ประมุขของทุกประเทศต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีและมีกฎหมายคุ้มครอง ในขณะที่ ร้อยละ 2.4 ระบุไม่จำเป็น
ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.0 ระบุจำเป็นต้องมีกฎหมายป้องกัน การล้มล้างสถาบันหลักของชาติจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี บิดเบือน ใส่ร้าย และจาบจ้วง ในขณะที่ร้อยละ 3.0 ระบุไม่จำเป็น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.2 เห็นด้วยว่าความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ช่วยหลอมรวมใจของคนในชาติ ไม่ว่าเชื้อชาติใดก็ตาม ช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ชาติและผลประโยชน์ของทุกคนเป็นส่วนรวมตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ร้อยละ 2.8 ระบุไม่เห็นด้วย
เมื่อถามถึงนักการเมืองที่ประชาชนเชื่อมั่นวางใจ ปกป้องรักษาสถาบันหลักของชาติ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.0 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองลงมาคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 79.6 และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ร้อยละ 75.6 ตามลำดับ
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีซูเปอร์โพล เปิดเผยข้อมูลโลกออนไลน์เรื่อง ความจริงในโลกโซเชียลกว่า 90% ปั่นกระแสไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 มาจากต่างประเทศว่า เรื่องนี้ถือเป็นขบวนการจากการสร้างอวตารที่ไม่มีตัวตน มาดิสเครดิต พล.อ.ประยุทธ์ สร้างความเกลียดชังให้กับผู้นำประเทศ รวมไปถึงการสร้างข้อมูลเท็จในโลกออนไลน์เพื่อปั่นกระแสในการแก้กฎหมายมาตรา 112 รัฐต้องเข้าไปตรวจสอบ ตัวเลขกว่า 90% ถือว่าเป็นจำนวนมากพอที่จะก่อให้เกิดความเชื่อในโลกโซเชียล เรามีกระทรวงดิจิทัลฯ, กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, บก.ปอท.ที่สามารถเข้ามาดูแล ตรวจสอบได้ตามอำนาจทางกฎหมาย ทำไมถึงไม่สามารถให้จัดการเหล่าอวตารที่สร้างข้อมูลเท็จดูหมิ่นสถาบัน บูลลี่คนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่าง
“ถ้าเป็นอวตารไม่มีตัวตน มาใช้ข้อมูลเท็จจากต่างชาติเข้ามาชี้นำประชาชนต้องมีการจัดการ โดยเฉพาะเรื่องการดูหมิ่นสถาบันและแก้ ม.112 เชื่อว่าคนไทยยอมไม่ได้ ถ้าสมัยก่อนคนพวกนี้ต้องนำไปตัดหัว เพราะถือว่าเป็นไส้ศึก บ่อนทำลายชาติ ปัจจุบันถ้าเจอตัวก็ต้องเนรเทศออกไป อย่าให้มาทำให้เกิดความแตกแยกของคนไทยได้”
เมื่อถามถึงกระแสที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 112 ของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า นายสามารถ กล่าวว่า ขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่เดินเคียงข้างร่วมกันปกป้องสถาบัน ประเด็นนี้มีความพยายามจากต่างชาติที่ต้องการเข้ามาแทรกแซงความมั่นคงของประเทศไทย โดยชี้นำมาหากแก้มาตรา 112 จะทำให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งไม่ใช่ความจริงเลย เพราะทุกประเทศทั่วโลกเขาก็มีกฎหมายในการปกป้องประมุขของเขาเช่นกัน
นายกฯ ปิดปากปรับ ครม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นร่วมพิธีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่าได้มีการทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อรัฐมนตรีใหม่แล้วหรือยัง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เมื่อถามย้ำว่า ได้มีการทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อ รมช.มหาดไทยคนใหม่แล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ส่ายหัวและตอบเพียงสั้นๆ ว่า ยังไม่ได้ทำอะไร
เมื่อถามอีกว่า จะเสร็จก่อนการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบ จากนั้นได้เดินออกมาเพื่อขึ้นรถยนต์ โดยระหว่างทางมีประชาชนตะโกนให้กำลังใจว่า “นายกฯ สู้ๆ” ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวได้กล่าวขอบคุณพร้อมระบุว่า “ขอบคุณจ้า รักทุกคนนะ ขอให้โชคดี วันมงคลนะครับ ขอให้คิดและพูดแต่เรื่องดีๆ”
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการปรับ ครม. หลังจากพรรคส่งชื่อนายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง เป็น รมช.มหาดไทยแล้วว่า ยังไม่มีสัญญาณอะไร ตนเพียงแต่ส่งชื่อให้นายกฯ ไปแล้ว จากนี้ก็เป็นดุลยพินิจของนายกฯ จะพิจารณาดำเนินการอย่างไร เมื่อไหร่ ซึ่งคงต้องเป็นไปตามดุลยพินิจของนายกฯ ต่อไป
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. ในฐานะรองประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดประชุมสภา สมัยสามัญว่า ได้มีการพูดคุยกันเบื้องต้นไปแล้ว แต่เราก็จะมีการนัดประชุมกันอีกครั้งก่อนที่จะมีการเปิดสมัยประชุม โดยคิดว่ามีกฎหมายที่ยังค้างอยู่ คิดว่าเป็นช่วงสุดท้ายแล้ว ก็ต้องขอความร่วมมือกับทุกพรรคการเมืองให้มาประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อที่จะสามารถดำเนินการพิจารณากฎหมายได้ ส่วนเรื่องพิเศษก็จะเป็นเรื่องที่ทางพรรคฝ่ายค้านได้พูดถึงคือ การขอเสนอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ซึ่งต้องรอความชัดเจนของทางพรรคร่วมฝ่ายค้านอีกครั้งว่าจะยื่นวันไหนอย่างไร ซึ่งก็เป็นสิทธิของฝ่ายค้าน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการประชุมพรรคในวันที่ 27 ต.ค.เพื่อสรุปผลงานของพรรคว่า คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) คงจะมีการชี้แจง ไม่เหมาะที่ตนจะพูดอะไร ส่วนกรณีนายรงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช และ กก.บห. เสนอสูตร “หมดที่ลุงตู่ สู่ลุงป้อม” ส่วนตัวมองว่าอาจจะเป็นการพูดกันเองหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มี
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรองหัวหน้า พปชร. กล่าวถึงกรณีนายรงค์เสนอสูตร “หมดที่ลุงตู่ สู่ลุงป้อม” ว่า เรื่องนี้ยังไม่ทราบ และยังไม่ได้มีการคุยกันในพรรค เป็นเรื่องที่ต้องถามทางผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กก.บห. แต่ยืนยันว่า พปชร.ยังเป็นพรรคหลักของรัฐบาล และสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ในการทำงานเพื่อเดินหน้าสร้างผลงานดูแลพี่น้องประชาชนให้เต็มที่ และเชื่อว่าผลงานของรัฐบาลจะทำให้ประชาชนยอมรับ และประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง ส่วนแคนดิเดตนายกฯ ทุกวันนี้ยังเป็น พล.อ.ประยุทธ์
นายชัยวุฒิกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 27 ต.ค.นี้ ทาง พปชร.จะมีการแถลงข่าวเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้ ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไร
เย้ยพท.หาแคนดิเดตไม่ได้
ด้านนายรงค์ บุญสวยขวัญ ให้สัมภาษณ์กรณีนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุถึงการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร. ในกรณีที่หาก พล.อ.ประยุทธ์สามารถเป็นนายกฯ ได้อีกประมาณ 2 ปี ไม่เป็นปัญหา เพราะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. สามารถเป็นนายกฯ ต่อได้นั้น ถ้า พปชร.ยังมีผู้นำที่สมบูรณ์ มีตัวเลือกที่เพียงพอ และไม่ได้อยู่ในภาวะขาดแคลนผู้นำ ก็จะเสนอแคนดิเดตนายกฯ ที่อยู่ตามจำนวนวาระ 4 ปี ว่า เป็นความเห็นเป็นกลยุทธ์ของแต่ละพรรคที่จะเสนออะไรก็เสนอเข้าไป เพื่อไม่ให้ผิดรัฐธรรมนูญพอ แต่พรรคไหนจะทำกลยุทธ์แบบไหนก็ว่ากันไป ประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ผ่านการออกเสียงในวันเลือกตั้ง ส่วนจะมาบอกว่าพรรคนั้นไม่ดี พรรคนี้ไม่ดี ถือเป็นการบูลลี่ทางการเมือง เอาดีเข้าตัว เอาความไม่ได้เรื่องเข้าคนอื่น แบบนี้ไม่มีประโยชน์
“ทุกพรรคมีจุดอ่อนและจุดแข็งด้วยกันทั้งนั้น พรรค พปชร.ก็มีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง พรรค พท.ก็เช่นกัน และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าแล้วแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของคุณคือใคร ให้ไปเอาสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาขายให้ประชาชน ประชาชนจะได้ไม่สับสน “
เมื่อถามว่า เราก็มั่นใจใช่หรือไม่ว่าเราไม่ได้ขาดแคลนแคนดิเดตนายกฯ ตามที่เขากล่าวหา นายรงค์กล่าวว่า โอ๊ย เรามีเยอะแยะ พปชร.เรามีความพร้อม มีความสมบูรณ์ที่จะทำอะไรได้เยอะแยะ แต่เราจะเอาใครที่เหมาะสมในสถานการณ์ เราขายในสิ่งที่ประชาชนต้องการ แต่ที่สำคัญคือไม่ผิดหลักการบ้านเมือง ไม่ผิดเจตนารมณ์ของรัฐ ไม่ผิดอุดมการณ์
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้า พท. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายรงค์ บุญสวยขวัญ เสนอสูตร “หมดที่ลุงตู่ สู่ลุงป้อม” ว่า แนวคิดดังกล่าวเป็นของ ส.ส.ท่านหนึ่ง แต่ พท.ได้ตั้งคำถามไปว่าไปถาม 3 ป.แล้วหรือยัง ถ้าเสนอมาแล้วประชาชนเลือก แสดงว่าประชาชนต้องการ แต่ตนว่าประชาชนไม่เลือก เพราะ 8 ปีที่ผ่านมาประชาชนเจอวิกฤตจากการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าเป็น พล.อ.ประวิตร จะสร้างความหนักใจให้กับ พท.หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ไม่ได้สร้างความกังวล เพราะแนวทางการแข่งขันทางการเมือง เราพร้อมแข่งกับทุกพรรค แต่เราหวังว่า พล.อ.ประวิตรยังมีข้อดีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในมุมของความเป็นการเมืองเข้าอกเข้าใจ เห็นใจประชาชน เข้าถึงสภาพปัญหา มีลักษณะความเป็นมนุษย์ เข้าถึงจิตใจความเป็นมนุษย์มากที่สุด มีความเห็นอกเห็นใจที่สูงกว่า
เมื่อถามว่า ที่ระบุว่า พล.อ.ประวิตรดีกว่า จะมีโอกาสที่จะจับมือกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ขอประกาศชัดว่าก่อนการเลือกตั้งจะไม่ประกาศจับมือกับพรรคไหน เพราะเราเคารพประชาชน ส่วนหลังเลือกตั้งเมื่อผลคะแนนออกมาแล้ว หากประชาชนไว้วางใจให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์เกิน 250 เสียงขึ้นไป เราก็กำหนดทิศทางได้ว่าจะเลือกพรรคการเมืองใดเข้ามาทำหน้าที่รัฐบาล โดยเงื่อนไข 1.จะต้องมีอุดมการณ์เช่นเดียวกับเรา 2.เราไม่เลือกพรรคที่สนับสนุนเผด็จการและสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ 3.เอานโยบายมาสอดประสานเป็นนโยบายของรัฐบาล ถ้า พปชร.มีเงื่อนไขตาม 3 ข้อนี้ พท.ก็พิจารณาได้ และยืนยันว่าพรรคไหนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เราจะไม่ขอทำงานด้วย
เมื่อถามว่า แคนดิเดตนายกฯ ของ พท.จะสู้ พปชร.ได้หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า แคนดิเดตนายกฯ ของ พท.เป็นกลไกและกลยุทธ์ที่สำคัญที่จะบอกกับประชาชนให้เขาตัดสินใจ 1.นโยบาย 2.แคนดิเดตนายกฯ และ 3.ตัวผู้สมัคร ส.ส.ถ้าเราประกาศชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพท.จะตอบโจทย์ปัญหาที่ประชาชนต้องการในขณะนี้ทุกมิติ
นายนพดล ปัทมะ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ พท. กล่าวว่า พท.สะดวกที่จะแข่งขันในสนามเลือกตั้งกับทุกคนทุกพรรค การเสนอแคนดิเดตเป็นเรื่องภายในของพรรค ไม่ขอวิจารณ์ เป็นสิทธิของพรรคใดที่จะเสนอใครเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคใดจะเสนอ 2 ป.หรือ 3 ป. ก็สุดแล้วแต่ ส่วนพรรคเพื่อไทยมุ่งเดินหน้าแก้ปัญหา 3 ป. ของเพื่อไทยคือ แก้ปากท้อง ป้องประชาธิปไตย และหัวใจคือประชาชน
พท.เลือดไหล ‘ไพจิต’ ซบภท.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้เดินทางไปร่วมแสดงความยินดีกับนายภาคิน คำวิลัยศักดิ์ หรือโตโน่ นักร้องและนักแสดงชื่อดังที่ทำกิจกรรมว่ายน้ำโขงระดมเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลนครพนมประเทศไทยและโรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาว เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ล่าสุดช่วงสายวันนี้ นายอนุทินพร้อมด้วยนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 และ ส.ส.นครพนม พรรค ภท. ได้เดินทางไปกราบสักการะพระธาตุพนม จ.นครพนม โดยมีนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนมหลายสมัย พรรคเพื่อไทย มาให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นายไพจิต อาจมีแนวโน้มมาร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากขณะนี้ได้ส่งนายชูกัน กุลวงษา รองนายก อบจ.นครพนม และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดกับนายไพจิตลงสมัคร ส.ส.เขต 4 นครพนม กับพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันเดียวกัน คณะผู้บริหารพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) นำโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรค สท. พร้อมด้วยนายภูมพันธ์ บุญมาตุ่น ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จ.อุดรธานี ทสท. ลงพื้นที่พบปะกับเกษตรกรกลุ่มทอผ้าบ้านโนนกอก จ.อุดรธานี ซึ่งมีประชาชนมารอพบปะกว่า 500 คน โดยคุณหญิงสุดารัตน์ ได้ชมการย้อมเส้นไหม ชมการทอผ้าไหมแบบโบราณ และกล่าวว่า ตั้งใจมารับใช้พี่น้องชาวอุดรธานี จะเปลี่ยนอุดรธานีให้ได้ ในฐานะลูกอีสาน ตนเป็นลูกเป็นหลานชาวอุดร ตั้งใจมาทำภารกิจครั้งสุดท้าย โดยเห็นว่าพี่น้องยังยากจน จึงขอประกาศทำภารกิจสุดท้ายให้พี่น้องอีสาน หายจน หมดหนี้มีรายได้อย่างยั่งยืน ขอประกาศว่า 3 ปีพี่น้องต้องหายจน พร้อมดูแลตั้งแต่เกิดจนแก่ จะมีนโยบายสามสิบบาทสุขภาพดีถ้วนหน้า เลือกโรงพยาบาลได้เอง ยาส่งฟรีถึงบ้าน
บ่ายวันเดียวกัน ที่เมืองทองธานี พรรคไทยภักดี จัดงานระดมทุนภายใต้ชื่อ ‘รบแตกหัก คนโกงชาติ’ ปฏิวัติพลังงาน พรุ่งนี้รวย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก นำโดยนายถาวร เสนเนียม ประธานพรรคไทยภักดี, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี, พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช เลขาธิการพรรคไทยภักดี พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรค ให้การต้อนรับ โดยมีผู้ร่วมงานกว่า 1,000 คน ทั้งนี้ ภายในงานมีมินิคอนเสิร์ตของน้าหงา คาราวาน การแสดงโชว์ลั่นกลองรบ และละครเวที 6 นโยบายพรรคไทยภักดี บรรยากาศในงานมี พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม. และ นก-ฉัตรชัย เปล่งพานิช ศิลปินชื่อดัง มาร่วมงานในครั้งนี้
จากนั้น เวลา 14.20 น. พล.ต.ท.ชาญเทพกล่าวว่า พรรคไทยภักดีชัดเจนในอุดมการณ์การปกป้องและเทิดทูนสถาบันฯ ใครจะมาทำให้ประเทศแตกแยก เราไม่ยอม และเราจะไม่ประนีประนอมกับการทุจริตคอร์รัปชัน เรามาเพื่อพัฒนา เพื่อปฏิวัตินวัตกรรม มาช่วยให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ต่อมา นพ.วรงค์ได้ขึ้นเวทีกล่าวถึงนโยบายว่า เราไม่มีนโยบายเอาเงินจากทุนผูกขาด ทุนโกงชาติ หรือทุนสามานย์มาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง เราจะใช้เงินจากประชาชนเท่านั้น ตนขอขอบคุณด้วยหัวใจจริงๆ ไทยภักดีจะทำให้ประเทศไทยผลิตพลังงานสะอาด และส่งออกพลังงานเป็นรายใหญ่ของโลก เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ หากโครงการนี้สำเร็จ ประชาชนจะได้รับคือระบบรัฐสวัสดิการ เพิ่มเงินผู้สูงอายุ 5,000 บาท
จากนั้นนายถาวรกล่าวถึงเรื่องการทุจริต ปัญหาวิกฤตชาติว่า การทุจริตในประเทศไทยมีแต่จะร้ายแรงมากขึ้นจนเกิดภาวะวิกฤต เป็นสถานการณ์แห่งความท้าทาย “ไทยภักดี” ขอทำหน้าที่อาสาแก้ไข ขอให้เราช่วยกันกำจัดคอร์รัปชันให้หมดไป งบประมาณปีละ 3 ล้านล้านเศษ งบประมาณของรัฐวิสาหกิจปีละ 5 ล้านล้านบาทเศษ อย่าให้เกิดการทุจริต ประเทศไทยของเราก็จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วแน่นอน.