วันเสาร์ ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2565, 08.13 น.
ส.ท.ปืนโหดทนแรงกดดันไม่ไหว หลังรัว 20 นัดเพื่อนร่วมค่ายเสียชีวิตคาที่ ขอเข้ามอบตัวกับผู้บังคับบัญชา เปิดปากขัดแย้งเรื่องส่วนตัว และไม่เคารพรุ่นพี่ หลบอยู่ในป่าโดยไม่ได้กินข้าว สงสารแม่อยู่ลำพังคนเดียว
คืบหน้ากรณี สิบโท มานิตย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ใช้อาวุธปืนพกแม็กกาซีนขนาด 9 ม.ม. กระหน่ำยิงเพื่อนรุ่นน้องค่ายเดียวกัน คือ สิบตรี วัชระ (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี เสียชีวิตคาที่ขณะเข้าเวรป้อมยามรักษาการณ์ บริเวณทางเข้า-ออกค่ายพระยอดเมืองขวาง โดยหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครพนม พร้อมกองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) และแพทย์เวร รพ.นครพนม ชันสูตรเบื้องต้น พบผู้ตายถูกยิงตามร่างกายหลายจุดรวมกว่า 12 นัด เหตุเกิดเมื่อเวลา 17.47 น. วันที่ 18 สิงหาคม 2565 ส่วนผู้ก่อเหตุยังอยู่ระหว่างการหลบหนี ทั้งนี้ หลังตำรวจได้สรุปพยานหลักฐาน รวมถึงกล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะเกิดเหตุ เสนอต่อศาลทหารมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี ขออนุมัติหมายจับเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา(19 ส.ค.) ฐานความผิดหลักคือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบหลักฐานจากภาพวงจรปิดตามสถานที่ต่างๆ ในช่วงเกิดเหตุ พบภาพนาทีชีวิตจากกล้องวงจรปิดของปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เยื้องหน้าค่ายทหาร เป็นภาพบันทึกระยะไกล เห็นเหตุการณ์ขณะมือสังหารคือ ส.ท มานิตย์ จันทะพินิจ หรือ ส.ห.วิทย์ ขับรถจักรยานยนต์มาจอดจ่อยิงผู้ตายในระยะเผาขน บริเวณประตูหน้าค่ายฝั่งขาเข้า โดยขณะนั้นผู้ตายยืนปฏิบัติหน้าที่เฝ้าเวรยามประจำวัน โดยมีพลทหารเวรอีกนายยืนอยู่ใกล้เคียงกัน และมีเสียงปืนรัวดังสนั่นนับได้ 20 นัด จนพนักงานปั๊มน้ำมัน และชาวบ้าน ที่อยู่ในพื้นที่ตรงข้าม ส่งเสียงกรี๊ดร้องดังสนั่น แตกตื่นด้วยความตกใจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพหลักฐานนาทีชีวิตช่วงสิบโทปืนโหดก่อเหตุ ก่อนขับรถจักรยานยนต์ หลบหนีไปตามเส้นทางบนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 22 (นครพนม-สกลนคร) มุ่งหน้าไปยังตัวเมืองนครพนมแบบไม่เร่งรีบ นอกจากนี้ได้ได้กล้องวงจรปิดจากโรงงานแห่งหนึ่งริมถนนทางหลวงชนบทสาย(บ้านผึ้ง-หนองดินแดง) จับภาพมือปืนขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยเส้นทางดังกล่าวนี้ เป็นทางกลับบ้านที่บ้านโพนสวาง หมู่ 7 ต.นามะเขือ อ.ปลาปาก จ.นครพนม ชุดสายสืบรวมทั้งทหารจึงได้ลงพื้นที่ติดตามตัวมาดำเนินคดี
ล่าสุด วันที่ 19 สิงหาคม 2565 เวลาประมาณ 21.30 น. ส.ท.มานิตย์ (สงวนนามสกุล) ทนแรงกดดันจากเจ้าหน้าที่ไม่ไหว จึงติดต่อผู้บังคับบัญชาขอมอบตัว โดยนัดเจอกันที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวสนามบินนครพนม ซึ่งรถทหารได้วิ่งเข้าไปรับตัว ส.ท.มานิตย์ที่มีสภาพอิดโรย เนื่องจากไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่หลังก่อเหตุ โดยข้าวมื้อแรกหลังกลายเป็นฆาตกรสังหารเพื่อนร่วมค่าย ทานอยู่ในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครพนม
จากการให้ปากคำกับผู้บังคับบัญชา ในการก่อเหตุอุกอาจครั้งนี้ ส.ท.มานิตย์รับสารภาพว่าเป็นคนลงมือจริง โดยอ้างได้รับความกดดันจาก ส.ต.วัชระเพื่อนทหารรุ่นน้อง ที่ชอบพูดจากระแนะกระแหนกรณีที่ตนเข้าร่วมกับกลุ่มเพื่อนไม่ได้ ตนเองจึงคิดว่าเป็นแกะดำในหมู่เพื่อนๆ จึงกลายมีความขัดแย้งส่วนตัวกับผู้ตาย รวมถึงผู้ตายไม่ให้ความเคารพในฐานะรุ่นพี่ แต่ยอมรับเคยสนิทคุ้นเคยร่วมงานกันมาตลอด แต่ช่วงหลังมีปัญหาไม่พอใจส่วนตัว เป็นต้นเหตุของความคับแค้นใจมานาน
วันเกิดเหตุขณะขับรถ จยย.ออกจากบ้านพักในค่าย เพื่อจะกลับบ้านไปทานข้าวเย็นกับแม่ ประจวบเหมาะมาเจอหน้าผู้ตายยืนเข้าเวรตู้ยามรักษาการณ์ และมีการแสดงอาการสีหน้าไม่พอใจต่อกัน แต่ไม่มีเจตนาวางแผนจะมายิงผู้ตายโดยตรง ด้วยความโมโหอารมณ์ชั่ววูบ บวกกับพกพาอาวุธปืนมาด้วย ยอมรับก่อนหน้านี้ดื่มเบียร์มา 2 กระป๋อง จึงตัดสินใจก่อเหตุ และหลบหนีไปอยู่ป่าละแวกหมู่บ้าน จนสำนึกผิดและห่วงแม่ที่อยู่ลำพัง จึงติดต่อผู้บังคับบัญชาขอเข้ามอบตัวสู้คดี รับโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้ ทางด้าน พ.ต.อ.ณัฏฐวิชฌ์ ราชแก้ว ผกก.สภ.เมืองนครพนม พร้อมทีมพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ทำการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพก่อเหตุจริง ภายหลังได้นำตัวคุมขังไว้ที่ สภ.เมืองนครพนม รอการสอบสวนเพิ่มเติม และนำส่งดำเนินคดีที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี ตามลำดับต่อไป
ด้าน นางบัวไร (สงวนนามสกุล) อายุ 67 ปี แม่ของผู้ต้องหา เปิดเผยว่า ตนยังไม่รับรู้ว่าลูกชายทำอะไรผิดกฎหมาย มีแต่เจ้าหน้าที่มาตามหาตัว ตั้งแต่ช่วงเย็นเมื่อวานที่ผ่านมา โดยปกติหากวันไหนไม่ได้เข้าเวร ลูกชายจะคอยเดินทางมาดูแลซื้อกับข้าวให้แม่ เพราะเป็นเสาหลักของครอบครัว มาตลอดหลังจากพ่อเสียชีวิตมากว่า 10 ปีแล้ว โดยตนมีลูกเพียงสองคน ส.ห.วิทย์ เป็นลูกชายคนโต พื้นฐานเป็นคนเงียบ ตั้งใจทำงาน ภูมิใจที่ลูกได้รับราชการ หลังจากไปเป็นพลทหาร และสอบเลื่อนชั้นเป็นทหารนายสิบ เข้ารับราชการเป็นสารวัตรทหารได้ เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ล่าสุดตนยังไม่รู้ว่าลูกชายทำผิดอะไร เพราะไม่มีคนเล่ารายละเอียดให้ฟัง หากตอนนี้มีคนมาบอกว่าลูกชายทำผิดกฎหมายจริง ตนยังไม่เชื่อ แต่สุดท้ายต้องยอมรับความจริง หากลูกกระทำลงไปในทางที่ผิด และขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หากไม่มีลูกชายตนจะต้องอยู่ลำพัง โดยมีโรคประจำตัวคือขาอ่อนแรงและตาพร่ามัว ส่วนลูกชายคนเล็กจะต้องทำงานต่างจังหวัด เพราะลำพังครอบครัวยากจน บ้านที่อยู่ปัจจุบัน ได้รับมอบจาก โครงการมอบบ้านพักคนยากจน กองทัพบกเพื่อประชาชน สร้างถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง รัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2555 ช่วงที่ลูกชายเป็นพลทหาร และได้รับคัดเลือกเพราะยากจน แต่มีความประพฤติเรียบร้อย
ส่วน นายมานิต ศรีทองทา อายุ 56 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 7 บ้านโพนสวาง ต.นามะเขือ อ.ปลาปาก จ.นครพนม เปิดเผยว่า สำหรับ ส.ท.มานิตย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ผู้ก่อเหตุ เป็นลูกบ้าน เสมือนลูกหลาน เห็นมาตั้งแต่เด็ก เป็นครอบครัวที่น่าสงสารยากจน พ่อเสียชีวิตแต่ยังเด็ก มีพี่น้อง 2 คน ต้องเป็นเสาหลักดูแลแม่ เริ่มเข้าเป็นพลทหาร และสอบเลื่อนตำแหน่งรับราชการ เป็นสารวัตรทหาร ถือเป็นความภูมิใจของญาติพี่น้อง อีกทั้งถือว่าเป็นคนที่มีความประพฤติเรียบร้อยมาตลอด ไม่ก้าวร้าว และยังเป็นลูกกตัญญูที่ดูแลแม่ และได้รับคัดเลือกมอบบ้านผู้ยากจนให้ ตามโครงการของกองทัพบก เพราะไม่มีที่อยู่อาศัย สุดท้ายไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อทำผิดแล้วต้องมารับโทษทางกฎหมาย ยอมรับสภาพกับการกระทำของตัวเอง จากโทษหนักจะได้เป็นเบา
ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้ระดมทีมสืบสวน สอบสวน กองพิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่รวมรวมพยานหลักฐาน สำคัญ เพื่อติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุ จนกระทั่งพบ หลักฐานชัดเจนยืนยันตัวคนร้าย นำสู่การเสนอศาลทหาร ออกหมายจับ เนื่องจากผู้กระทำผิดเป็นข้าราชการทหาร กระทำต่อข้าราชการทหาร จึงต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย คือเสนอศาลมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี ออกหมายจับ มั่นใจหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีเอาผิดทางกฎหมาย ไม่ผิดตัว ทั้งพยานในที่เกิดเหตุ ภาพจากกล้องวงจรปิด ส่วนปลอกกระสุนปืน จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบปลอกกระสุนขนาด 9 ม.ม. ตกในที่เกิดเหตุ จำนวน 19 นัด แต่ยังไม่ทราบขนาดอาวุธปืน เชื่อว่าเป็นปืนแบบออโตเมติก และมีการเพิ่มขนาดแม็กกาซีน บรรจุกระสุนยิงจนหมดแม็ก ส่วนปมสาเหตุมุ่งปัญหาความแค้นส่วนตัว ไม่มีปัญหากดดันจากผู้บังคับบัญชา หรือเรื่องผลประโยชน์ในการทำงาน และไม่มีธุรกิจมืดมาเกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน รวมถึงผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหาร ติดต่อเกลี้ยกล่อมให้ผู้ต้องหาเข้ามอบตัว เชื่อว่ายังอยู่ในพื้นที่ มั่นใจไม่หลบหนีออกไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่มีการตรวจสอบสกัดกั้นไว้ก่อนตามชายแดนทุกจุด เชื่อว่าผู้ต้องหาจะเข้ามอบตัวอย่างแน่นอน โดยทางตำรวจจะดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมายตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย